วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

5 โรคเรื้อรังกับสุขภาพของผู้สูงอายุ



5 โรคเรื้อรังกับสุขภาพผู้สูงอายุ

         ผู้สูงอายุ นั้นถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญจำเป็นที่เราต้องเอาใจใส่ ดูแลท่านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในตอนนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดเผยว่า โครงสร้างประชากรของประเทศไทย ได้เข้าสู่โครงสร้างประชากรสูงอายุแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) เกินร้อยละ 10 จากประชากรรวมทั้งสิ้น 66.5 ล้านคน หรือคิดเป็นผู้สูงอายุถึงกว่า 7 ล้านคน เมื่อดูตัวเลขแล้ว ก็น่าเป็นห่วง เพราะนอกจากสุขภาพใจที่อาจเกิดกับผู้สูงอายุเนื่องจากลูกหลาน ห่างเหินแล้ว หากสุขภาพกายมีโรครุมเร้าเข้าไปอีก คงทำให้การดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุมีความลำบากมากขึ้น

       ปฏิเสธไม่ได้ว่า นอกจากภาครัฐต้องหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุมากขึ้นแล้ว ลูกหลานและผู้สูงอายุเองก็ยังต้องหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ 5 โรคเรื้อรังซึ่งได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 31.7 โรคเบาหวาน ร้อยละ 13.3 โรคหัวใจ ร้อยละ 7.0 โรคอัมพาตอัมพฤกษ์ ร้อยละ 2.5 โรคหลอดเลือดในสมองตีบ ร้อยละ 1.6 และโรคมะเร็ง ร้อยละ 0.5 
      ดังนั้นผู้สูงอายุต้องหมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ดังนี้

      โรคเบาหวาน อาการที่มักพบบ่อย มาจากการที่มีภาวะน้ำตาลสูงโดยตรงและจากโรคแทรกซ้อนได้แก่ ปัสสาวะบ่อย และมีปริมาณมาก ปัสสาวะหลายครั้งตอนกลางคืน ในรายที่เป็นมากจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะสังเกตได้จากปัสสาวะแล้วมีมดตอม นอกจากนี้คนที่เป็น เบาหวานส่วนใหญ่จะมีอาการคอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หิวบ่อย ทานอาหารจุ แต่น้ำหนักกลับลดลงและมีอาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ หากเป็นแผลจะหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนัง เกิดฝีบ่อย คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้ป่วยเพศหญิง ตาพร่ามัว ชาปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ


       โรคความดันโลหิตสูง โรคนี้คร่าชีวิตของผู้สูงอายุไปปีละไม่น้อย สามารถสังเกตได้ 3 ระยะ คือ ระยะแรกส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการทางร่างกายปรากฏให้เห็น ระยะที่ 2 หรือระยะปานกลาง ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัวว่ามีความดันโลหิตสูง อาการเป็นๆ หายๆ อาจปรากฏอาการผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นแรง ตื่นเต้น นอนไม่หลับ มือสั่น ปวดหัว ถ้าได้รับการรักษาในระยะนี้อาจหายได้ หรือโรคจะไม่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้น หากผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลพบว่ามีอาการเข้าข่ายจะต้องรีบไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพ ระยะที่ 3 หรือระยะรุนแรง อาการที่พบมักจะปวดบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า และดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงบ่ายหรือเย็น อาจจะมีอาการมึนหัว เวียนหัว ตาพร่ามัวอ่อนเพลีย และใจสั่นได้

      โรคหัวใจ อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกตก็คือ อาการเจ็บหน้าอก บริเวณหลังกระดูกอก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเจ็บร้าวไปที่อื่น เช่น ด้านในของแขนซ้าย คอ หลัง ขากรรไกร เป็นต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บแบบถูกบีบรัด บางรายมีเพียงอาการแน่นอึดอัด รู้สึกอ่อนเพลียจะเป็นลม อาการเจ็บจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุดแล้วจะหายไปในระยะเวลาไม่เกิน 15 นาที อาการที่กล่าวมาทางการแพทย์เรียกว่าโรคแองจินาเปคทอรีส ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายหลังจากภาวะความเครียดทางจิตใจ การออกกำลังกาย การร่วมเพศ การทานอาหาร การถูกอากาศเย็นจัด เป็นไข้สูง นอกจากนี้ หากเป็นผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจมีอาการรุนแรงขึ้น และเจ็บหน้าอกนานขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนก็อาจมีอาการ เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดจังหวะ เมื่อผู้ป่วยเจ็บหน้าอกอาจเกิดภาวะหัวใจวาย เกิดภาวะช็อกจากหัวใจ ฯลฯ


       โรคอัมพาตอัมพฤกษ์ โรคนี้ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดอยู่แล้ว ยิ่งหากมีโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เต้นผิดปกติ โรคความดันโลหิตสูง โรคโคเลสเตอรอล ในเลือดสูง โรคอ้วน โรคเครียด สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราปริมาณมากเป็นประจำ ขาดการออกกำลังกายก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากขึ้น อาการที่สำคัญ คือ พูดไม่ออก พูดไม่ชัดทันทีทันใด หรือไม่เข้าใจคำพูด แขน ขา หน้า อ่อนแรง-ชา หรือขยับไม่ได้ทันทีทันใด ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว มองไม่เห็นหรือเห็นภาพซ้อน ปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน ชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน เวียนศีรษะ เสียการทรงตัว หรือหมดสติ

     โรคหลอดเลือดในสมองตีบ อาการที่พบได้คือถ้าหาก มีอาการไม่มากก็อาจมีอาการพูดไม่ชัด มุมปากตก แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรง แต่พอเดินได้ ถ้าได้รับการรักษาอาจหายได้ใน 2 สัปดาห์ รายที่มีอาการปานกลาง ก็อาจจะเกิดอาการอ่อนแรงทันทีทันใด พูดได้ไม่ชัด ควรได้รับการรักษาทันที เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นตามมา ส่วนรายที่มีอาการรุนแรง มักจะไม่รู้สึกตัวตั้งแต่ต้นหรือซึมลงทันที จำเป็นต้องรักษาทันที มิฉะนั้นอาจเสียชีวิตได้

       นอกจากนี้ ยังมีโรคมะเร็งชนิดต่างๆ และอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุที่อันตรายคือ ภาวะหกล้ม การสูญเสียความสามารถในการเดิน สติปัญญาเสื่อมถอย เบื่ออาหาร ปัสสาวะอุจจาระราด รวมทั้งการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ 
ทั้งนี้ ลูกหลานและผู้สูงอายุเองจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูแลตนเอง โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพประจำปี ดูแลสุขภาพช่องปากอยู่เสมอ บริโภคอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำวันละ 6 - 8 แก้ว ออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ ขับถ่ายเป็นเวลาและพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 - 8 ชั่วโมง เป็นต้น  และหากมีอาการผิดปกติหรือเข้าข่าย 5 โรค (ร้าย) เรื้อรังอย่ารอช้ารีบไปพบคุณหมอด่วน
 






ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง


ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง



       การออกกำลังกายมีผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ในทางกายทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่เรียกว่าสมบูรณ์ คือ พร้อมจะทำงาน และมีหลักฐานว่าสามารถช่วยป้องกันโรคได้หลายอย่าง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคเบาหวาน เป็นต้น ในทางจิตใจการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ใช้ใน การป้องกันและรักษาความเครียดที่ได้ผลดีอย่างหนึ่ง จึงถือกันว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของ รูปแบบการดำเนินชีวิต (Life Style) ที่ดี จึงมีประโยชน์มากถ้าสามารถ ทำได้อย่างสม่ำเสมอ 


      การออกกำลังกายเป็นเรื่องทำสำคัญต่อสุขภาพอย่างยิ่งซึ่งภายในหนึ่งวันหากสามารถออกกำลังกายได้เพียง 30 นาที ก็สามารถให้ช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงได้ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพของคุณอย่างไรบ้าง

ประการที่หนึ่ง ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง เพราะสมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย นอกจากนี้ การออกกำลังเป็นประจำยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า
ประการที่สอง ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น โดยปกติทั่วไปการกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
          
ส่วนประการที่สามนั้น เป็นการทำให้ผิวสวย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น
ประการต่อมา ออกกำลังกายช่วยลดความเครียด ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายได้เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมาก
ประการที่ห้า ช่วยผ่อนคลายภาวะการณ์ปวดประจำเดือน สำหรับคุณผู้หญิงที่มักจะปวดประจำเดือน วิธีนี้จะเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ดีที่สุด แต่ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่ายๆ ด้วยการซิทอัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือนก็ยิ่งควรซิทอัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น
 ประการต่อไป สามารถลดอาการท้องผูกได้ เพราะการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกายมากขึ้น


ประการที่เจ็ด ทำให้หลับง่ายขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

 
ส่วนประการสุดท้ายนั้น ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เนื่องจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วนได้


        การออกกำลังกายต้องให้เหมาะสมกับตัวเอง ตามวัย สุขภาพ เฉพาะตัว และเวลาที่มีอยู่ ต้องปรับให้เหมาะกับกิจวัตรประจำวันอื่นที่ต้องทำ และต้องที่สำคัญคือต้องสนุกด้วย ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดโทษและไม่เกิดความรู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นภาระที่ต้องทำ 

       เวลาสำหรับการออกกำลังกาย เลือกได้ตามความสะดวก แต่ต้องยกเว้นช่วงเวลาหลังอาหารใหม่ๆ (จะทำให้ปวดหรือแน่นท้อง) เวลาใกล้นอน ( จะทำให้นอนไม่หลับ) หรือภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ (ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าธรรมดา หรืออาจเกิดอุบัติเหตุระหว่างการออกกำลังกาย) 


 
คลิ๊กที่ภาพ





โรคต้อหิน ภัยที่มากับการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ

ภัยใกล้ตัวที่เกิดจากอยู่หน้าคอมพิวเตอร์




      เพราะยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล จึงทำให้การทำงานต่างๆ ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานเป็นหลัก ด้วยความสะดวกสบายนี้จึงทำให้หลายคน โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงานที่มีมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เพื่อต้องการเคลียร์งานให้เสร็จ   แต่หารู้ไม่ว่าการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เกิน 1 ชั่วโมงโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลัง ก้นกบ สะโพก และขาเกร็ง รวมไปถึงข้อ เส้นเอ็น และอวัยวะภายใน ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามมา

     ข้อมูลจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดย พ.อ.นพ.กิฎาพล วัฒนกูล ผู้อำนวยการกอง เวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้รวบรวมเรื่องราวรอบโรคนำเสนอเป็นความรู้ที่น่าสนใจ ถึง กลุ่มอาการที่อาจกล่าวว่าเป็นโรคใหม่ของผู้ใช้ คอมพิวเตอร์ คือ Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัย สะสม) เป็นอาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ไม่ใช่โรค แต่ เป็นปฏิกิริยาจากการทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลัก และโรคใหม่อีก โรค คือ โรค Hurry Sickness (โรคทนรอไม่ได้) มักเกิดกับผู้ที่เล่นอิน เทอร์เน็ต ที่ทำให้อาการกระวนกระวาย ซึ่งหากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายเป็น โรคประสาทได้ ซึ่งอาจนำไปถึงการเสียเพื่อน และตกงานได้ รายงานการศึกษาวิจัย ที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์กัน อย่างแพร่หลายในหลาย ๆ ประเทศ พอสรุปได้ดังนี้คือ 




1. ในประเทศสวีเดน พบว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ได้ สารนี้มีชื่อทางเคมีว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอ และคอมพิวเตอร์

2. ในประเทศญี่ปุ่น มีผลการวิจัยบ่งชี้ว่า การใช้เวลาทำงานกับหน้าจอ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ สามารถทำให้มีอาการป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวม ทั้งอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ อาการอ่อนเพลีย ซึ่งกลายเป็นอาการ ปกติที่เกิดขึ้น เป็นประจำสำหรับพนักงานที่ใช้เวลาเกินกว่า 5 ชั่วโมงทำ งานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในแต่ละวัน

3. ในประเทศไทย โดยกองอาชีวอนามัย กรมอนามัย ได้ศึกษาวิจัยในกลุ่มผู้ใช้ คอมพิวเตอร์จากหลาย ๆ หน่วยงานพบว่า ห้องทำงานส่วนใหญ่มีสภาพการจัดที่ไม่ เหมาะสม ทั้งนี้มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ร้อยละ 62 ที่ทราบถึงผลกระทบต่อระบบสาย ตา ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้นที่ทราบถึงผลกระทบต่อระบบกล้าม เนื้อ กระดูกและข้อต่อ อันเนื่องมาจากการใช้คอม พิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ
 


โรคและกลุ่มอาการที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อันเนื่องมาจากการทำงานกับ คอมพิวเตอร์

    โรค Cumulative Trauma Disorders (ความผิดปกติจากอุบัติภัยสะสม) อาการของ โรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็น มาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ อาการของโรคพวกนี้แบ่ง เป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นแล้วหายเมื่อได้พัก ระยะสองคือ มีอาการต่อ เนื่องถึงกลางคืน และหายเมื่อได้พัก ระยะสามคือ เป็นตลอดเวลาไม่หายเมื่อได้ พัก การรักษาคือ ต้องปรับพฤติกรรมการทำงานของตนเองก่อน หรือถ้าเป็นมากควร ปรึกษาแพทย์ และควรเล่าประวัติการทำงาน ให้แพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริง แพทย์ จึงจะรักษาเจาะจงเฉพาะที่ได้




       โรคนี้มีความคล้ายกับ โรคจากการทำงานซ้ำซาก ซึ่งนักกายภาพบำบัดอธิบายว่า พบ มากในผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน มักจะมีอาการชาข้อ มือ หรือที่เรียกว่า กลุ่มอาการอุโมงค์ข้อ มือ (Carpal Tunnel Syndrome) เกิดเนื่องจากการใช้งานซ้ำ ๆ ที่บริเวณข้อ มือ ทำให้เอ็นรอบ ๆ ข้อมือหนาตัวขึ้นแล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้ เกิดอาการชาและเจ็บได้ ซึ่งการรักษานอกจากทางกายภาพ โดยใช้ความร้อนทำให้ บริเวณที่จับหนาตัวขึ้นนิ่มลงและยืดมันออก ทำให้อุโมงค์ที่เส้นประสาทลอด ผ่านขยายตัวได้ แต่ถ้าผู้ที่เป็นมาก ๆ จะมีอาการชาจนกระทั่งกล้ามเนื้ออ่อน แรงลงไป การผ่าตัดคือ วิธีรักษาที่ดีที่สุด


      โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำ ให้กลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย เช่น ทนรอเครื่อง ดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาท ได้ ท่านจึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะงาน และพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไว้บ้าง มิ ฉะนั้นท่านจะเป็นคนที่เสียทั้งงานและเสียทั้งเพื่อนได้ 


     โรคภูมิแพ้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอก โฮล์ม ในสวีเดนพบว่า สารเคมีจากจอ คอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ สารนี้มีชื่อ ว่า Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในจอวิดีโอ และคอม พิว เตอร์ สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น คัน คัดจมูก และปวด ศีรษะ ผลวิจัยพบว่า เมื่อจอคอมพิวเตอร์ร้อนขึ้นจะปล่อยสารเคมีดังกล่าวออก มา โดยเฉพาะหากสภาพภายในห้องทำงานที่มีเนื้อที่จำกัด เครื่องคอมพิวเตอร์อาจ จะเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ดังนั้น อากาศที่ดีจึงจำเป็น อย่างยิ่ง

     โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา( Demand )และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา( Supply ) เมื่อเซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดังกล่าวเลวลงไปอีก
ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันมากขึ้น และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ ( จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้อินเตอร์เน็ต ) และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ มากที่สุดในโลก

ข้อเสนอแนะ
การจัดและปรับสภาพโต๊ะทำงานคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละคน ควร ปรับระดับที่เหมาะสมของตนเอง เพื่อให้ได้ท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง เพื่อ ป้องกันปัญหาตาล้า และความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อของ ร่างกาย จึงขอเสนอคำแนะนำในการจัดสัดส่วนงานคอมพิวเตอร์ มีรายละเอียด ดัง นี้ คือ


โต๊ะทำงาน และเก้าอี้
   ควรปรับพนักเก้าอี้ของคุณให้เอียง 100-110 องศา ควรปรับพนักเก้าอี้ขึ้นลงให้เหมาะสม หากมีหมอนเล็กๆ ก็ควรนำมาพิงหลังหากจำเป็น เพื่อให้หลังตั้งตรง หรือหากเก้าอี้ทำงานมีระบบปรับหลังพนักพิงให้ปรับตำแหน่งเก้าอยู่เสมอ ให้พนักพิงสามารถรองรับช่วงโค้งของกระดูกสันหลังช่วงเอวได้ดี
ปรับ ที่วางแขนเพื่อให้ไหล่อยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย หากที่วางแขนทำให้ทำงานไม่ถนัดก็ควรถอดออก
   การจัด วางจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
ควรปรับจอภาพด้านบนสุดให้อยู่ในแนวเดียวกับ ระดับสายตา
   ควรวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่เหนือคีย์บอร์ด และอยู่ตรงหน้า ตรงกับระดับสายตาในขณะที่นั่งประมาณ 2-3 นิ้ว
   ควร นั่งให้แขนห่างจากหน้าจอให้ยาวที่สุด และควรปรับระยะการมองเห็น พยายามหลีกเลี่ยงการเพ่งจ้องคอมพิวเตอร์ โดยการวางตำแหน่งจอให้เหมาะสม ถ้าจะให้ดีควรจะมีแผ่นกรองแสงเพื่อป้องกันการเสื่อมของตาด้วย
   ปรับ มุมจอคอมพิวเตอร์ในแนวตั้ง และปรับอุปกรณ์ควบคุมจอเพื่อลดการมองแสงที่ออกจากคอมพิวเตอร์ หรือควรปรับม่านหากมีแสงสว่างมากจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นจอคอมพิวเตอร์
   อย่าง ไรก็ตามการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวด เมื่อย หรือ กล้ามเนื้อเกร็งได้ แม้ว่าจะมีการจัดวางตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ ปรับเก้าอี้ พนักพิง และการนั่งที่ถูกต้องแล้ว แต่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของเลือดหยุดชะงัก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ ซึ่งการหยุดพักและผ่อนคลายเป็นวิธีป้องกันได้ดีที่สุด โดย ดร.แพทริก อิริคสัน ได้ให้คำแนะนำถึงวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับพนักงานออฟฟิศง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้
  ควรจะพักบริหารร่างกายสัก 1-2 นาที ในทุกๆ 20-30 นาที หลังจากที่นั่งทำงานในแต่ละชั่วโมง เพื่อให้ร่างกาย และกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย พยายามหางานอย่างอื่นทำแทนในขณะที่หยุดพัก หรือจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้น บิดตัวไปมา ก็อาจจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายมากขึ้น
  ควรพักสายตา อย่างน้อย 5 นาที หลังจากที่จ้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เนื่องจาก แสง และรังสีต่างๆ ที่ออกจากจอ อาจทำให้ตาเมื่อยล้า และทำให้สายตาสั้นลงได้ ควรจะพักสายตา โดยการหลับตา หรือ มองไปบริเวณรอบๆ เป็นระยะๆ หากรู้สึกปวดตา ให้มองไปบริเวณที่มีสีเขียว ก็อาจจะทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น ไม่ควรจ้องมองไปที่แสงสว่าง หรือที่มีแดดจ้า

หากรู้สึกเมื่อย ก็ให้หยุดพัก ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก ล้างหน้า เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่าฝืนนั่งทำ เพราะอาจจะทำให้เสียสุขภาพได้





อันตรายจากการใช้ยา (( Paracetamol ))

พาราเซตามอล (paracetamol)




        พาราเซตามอล (paracetamol) เป็นยาสามัญประจำบ้าน มีสรรพคุณในการบรรเทาปวด ลดไข้ เป็นที่รู้จัก และใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย สามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ ประชาชนทั่วไปจึงกินยาพาราเซตามอลเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ไข้หวัด ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากทำให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว พาราเซตามอล หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาบรรเทาอาการปวดที่ไม่มีฤทธิ์ระงับอาการอักเสบเหมือนอย่างแอสไพริน (aspirin) และไอบูโปรเฟน (ibuprofen) และไม่ใช่ยาแก้อักเสบประเภทสเตียรอยด์ (steroid) แม้ว่ากลไกการออกฤทธิ์ของพาราเซตามอลยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่พาราเซตามอลก็จัดเป็นยาบรรเทาอาการปวดที่ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือด เหมือนยาแอสไพริน และ ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลมีวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ ปี ค.ศ. 1955 ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อการค้าว่า ไทลีนอล (Tylenol) และวางจำหน่ายในประทศอังกฤษ ปี ค.ศ. 1956 ภายใต้ชื่อการค้าว่า พานาดอล (Panadol) สำหรับชื่อทางการค้าอื่นๆ ที่มีจำหน่ายทั่วไป ได้แก่ คาลปอล (Calpol) ดาก้า (DAGA) นูตามอล (Nutamol) พาราแคป (Paracap) พาราเซต (Paracet) พารามอล (Paramol) ซาร่า (Sara) ซาริดอน (Saridon) และเทมปร้า (Tempra) เป็นต้น รูปแบบที่มีจำหน่ายก็มีทั้งแบบยาเม็ด ขนาด 500 มิลลิกรัม และยาน้ำสำหรับเด็กและทารก ซึ่งมีหลายความแรง (จึงต้องดูฉลากข้างขวดให้รอบคอบ) 



        อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอลที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับเสียการทำงานหรือตับวาย ซึ่งหากได้รับยาต้านพิษไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียชิวิตได้ รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่น เช่นพาราเซตามอลตีกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่งในผู้ที่เป็นเลือดข้น กล่าวคือพาราเซตามอลทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้ หากได้รับในปริมาณมากอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเท่ากับไปเสริมฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือดจนทำให้ผู้นั้นเกิดเลือดออกผิดปกติขึ้น เนื่องจากพาราเซตามอลที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีหลายรูปแบบ หลายความแรง หลายยี่ห้อ ในรูปของยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม และการนำพาราเซตามอลไปผสมกับยาอื่นๆ ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น ซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ ทำให้เกิดการกินยาซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัว และหากระยะเวลานานเป็นเดือนก็จะเกิดการเป็นพิษต่อตับขึ้น ดังนั้นทางที่ดี ก่อนกินยาอะไรควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสียก่อน และหากไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร เป็นยาสูตรผสมหรือไม่ ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

          การกินพาราเซตามอลร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ รัม ยีน หรือ เบียร์ เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะตัวแอลกอฮอล์เองเป็นที่ทราบกันดีว่าหากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องกันนานๆ ก็ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง และตับวายได้ หากกินร่วมกับพาราเซตามอลก็จะเท่ากับเป็นการเร่งให้ตับเสียการทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการออกกฎหมายให้มีการพิมพ์คำเตือนบนฉลากยาพาราเซตามอลว่า “ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์” เนื่องจากเกิดคดีพิพากษาเกี่ยวกับการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับไวน์เป็นประจำของชาวเวอร์จิเนียรายหนึ่งจนทำให้ตับวาย จนต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่

         การใช้ยาพาราเซตามอลอย่างปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนต้องทราบ เนื่องจากยาพาราเซตามอลมีฤทธิ์ในการบรรเทาปวดเท่านั้น ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการอักเสบ และไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งไข้หวัด หรืออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ดังนั้นข้อสำคัญที่สุดในการใช้ยาพาราเซตามอลคือใช้เท่าที่จำเป็นในขนาดการรักษาปกติ กล่าวคือ สำหรับเด็ก (อายุต่ำกว่า 12 ปี) ให้รับประทานครั้งละ 10 - 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการปวดศีรษะหรือมีไข้ แต่ไม่เกินวันละ 2.6 กรัม สำหรับผู้ใหญ่ให้รับประทานยาพาราเซตามอล 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็กินแค่ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด ก็เพียงพอ) ทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการปวดศีรษะหรือมีไข้ แต่ไม่เกินวันละ 4 กรัม (ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 8 เม็ด) และหากไม่มีอาการแล้วก็ควรหยุดกินยาทันที หรือหากใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 3-4 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติม ส่วนผู้ป่วยโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาพาราเซตามอล



          หากลืมรับประทานยาพาราเซตามอลควรทำอย่างไร คำตอบคือให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเวลาที่นึกได้ใกล้เคียงกับเวลารับประทานครั้งต่อไป ไม่ต้องรับประทานยาที่ลืมนั้น ให้รับประทานยาตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า ควรเก็บยาให้พ้นมือเด็ก และในที่ที่ไม่ถูกความร้อนหรือแสงโดยตรง ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความชื้น หากเป็นพาราเซตามอลชนิดน้ำควรเก็บในที่เย็น สำหรับยาที่หมดอายุแล้วไม่ควรเก็บไว้ หรือนำมาใช้อีก คำแนะนำพิเศษในการใช้ยาพาราเซตามอลที่ผู้เขียนอยากจะฝากถึงท่านผู้ฟังทุกท่าน มีดังนี้
          1. ในเด็กไม่ควรใช้ยานี้เกิน 5 วัน ส่วนในผู้ใหญ่ไม่ควรใช้ยานี้เกิน 10 วัน หากหลังจากนี้ยังมีอาการปวดอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร 
          2. ในเด็กไม่ควรใช้ยานี้มากกว่า 5 ครั้งใน 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการใช้พาราเซตามอลเกินขนาด 
          3. ไม่ควรใช้ยานี้หากมีไข้สูง หรือมีไข้นานกว่า 3 วัน หรือเป็นไข้กลับซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร 
          4. ก่อนใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วยในการแก้ปวดศีรษะ ลดไข้ ควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดก่อนว่า ไม่มีตัวยาพาราเซตามอลผสมอยู่ด้วยอีก เพื่อป้องกันการรับยาเกินขนาดปกติ


          มาถึงตรงนี้ ท่านคงตระหนักดีแล้วว่า ยาพาราเซตามอลไม่ใช่ยาที่ใช้รักษาได้สารพัดโรค การใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นจึงควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น ทางที่ดีหากมีอาการปวดไม่มาก ควรปล่อยให้หายเองจะดีกว่า แต่หากไม่หาย ควรใช้ยาปริมาณที่พอดีเท่านั้น และหากใช้ยาหลายวันแล้วก็ยังไม่หาย การไปพบแพทย์จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด






โรคที่มากับภัยหนาว



อุจจาระร่วงอีกหนึ่งโรคที่มากับภัยหนาว




        พบปีที่ผ่านมา ภัยหนาวทำคนไทยป่วยด้วยโรคจากภัยหนาวกว่า 5 แสนราย เสียชีวิต 381 ราย เตือน ประชาชนระวังโรคมากับภัยหนาว แนะดูแลสุขภาพ ชี้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมเสี่ยงป่วยง่ายกว่าปกติ
    
        ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า จากการติดตามสถานการณ์ในฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 - กุมภาพันธ์ 2553 ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยจากโรคฤดูหนาว 6 โรครวมกัน 541,650 ราย มากที่สุดคือ โรคอุจจาระร่วง 438,148 ราย รองลงมาคือ ปอดบวม 51,464 ราย ไข้หวัดใหญ่ 30,828 ราย ที่เหลือเป็นโรคสุกใส โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน มีผู้เสียชีวิตรวม 381ราย จากโรคปอดบวมมากที่สุด 340 ราย ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะประชุมผู้บริหารระดับสูงในวันพรุ่งนี้ ( 1 พฤศจิกายน 2553 ) เพื่อกำหนดมาตรการดูแลประชาชนและควบคุมป้องกันโรคในหน้าหนาว
      


       รมช.สธ.กล่าวด้วยว่า เนื่องจากขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศที่เย็นลง เอื้อต่อเชื้อโรคบางชนิดเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้เกิดโรคติดต่อหลายโรค ที่มักพบบ่อยในฤดูหนาวมี 6 โรค ได้แก่ โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคสุกใส และโรคอุจจาระร่วง กลุ่มประชาชนทีมีความเสี่ยงป่วยง่ายกว่าคนประชาชนทั่วไป ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำอยู่แล้ว จึงขอให้รักษาความอบอุ่นร่างกาย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง คือรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ล้างมือบ่อยๆ โดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศการป้องกันโรคในฤดูหนาว เพื่อให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการปฏิบัติตัวไม่ให้เจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวแล้ว
    
       ดร.พรรณสิริกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังประสบปัญหาน้ำท่วมขัง อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ประสบภัยเจ็บป่วยง่าย เนื่องจากอากาศมีความชื้นสูง สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือเรื่องที่นอน หากที่นอนเปียกน้ำแล้ว ไม่ควรนำมาใช้อีก เนื่องจากน้ำจะชุ่มอยู่ในวัสดุที่ใช้ทำที่นอน จะมีความชื้นสูง ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ง่าย ควรใช้วัสดุอื่นปูนอนเช่นเสื่อ หรือผ้าหนาๆ ก็ได้


       



       นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด หัดเยอรมัน สุกใส เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ทางการไอจาม โดยเชื้อโรคจะอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และอาจติดจากการใช้ภาชนะ และสิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น โดยโรคไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มด้วยการมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อเริ่มมีอาการ ควรนอนพักผ่อนให้มากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้นหรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วันควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะเด็กเล็กหากมีอาการเปลี่ยนแปลงคือหายใจเร็วขึ้น มีอาการหอบ หรือหายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม หรือหายใจมีเสียงดัง อาจเกิดโรคแทรก ที่สำคัญคือ โรคปอดบวม ซึ่งมีความรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้ง เด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น
      





       นพ.มานิตกล่าวต่อว่า โรคหัดมักเกิดในเด็กโตและวัยรุ่น อาการจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง และจะมีผื่นขึ้นภาย หลังมีไข้ประมาณ 4 วัน จากนั้นผื่นจะกระจายทั่วตัว โดยผื่นจะจางหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยเป็นหัด ให้แยกออกจากเด็กอื่นๆ ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนโรคหัดเยอรมันเป็นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเล็ก มีอาการไข้ ออกผื่นคล้ายโรคหัด บางรายอาจไม่มีผื่นขึ้น หากเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ดังนั้นควรพบแพทย์และหยุดงานหรือหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ ขณะนี้สถานบริการสาธารณสุขของรัฐมีบริการฉีดวัคซีนรวมป้องกันได้ 3 โรค ทั้งโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม ให้กับเด็กอายุ 4-6 ปี และเด็กอายุ 9-12 เดือน รวม 2 ครั้ง จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต ส่วนโรคสุกใส มักจะเกิดในเด็ก เมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต อาการจะเริ่มด้วยไข้ต่ำๆ ต่อมาจะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสหลังมีไข้ 2-3 วัน จากนั้นตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดหลุดออกเองประมาณ 5-20 วัน เด็กนักเรียนที่ป่วยควรหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เด็กเล็กที่ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเกาที่ผื่น
       



       “สำหรับโรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาว ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อยๆ เช่นน้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด ให้ดื่มนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม ควรผสมนมให้เจือจางลงครึ่งหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากยังถ่ายบ่อย ให้ผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ดื่มบ่อยๆ อาการจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที” นพ.มานิตย์ กล่าว
     





      อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับการป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งสะอาด ปลอดภัย เด็กมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี ผู้ที่ดูแลเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเตรียมอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ให้เด็กกินอาหารที่สุกใหม่ๆ และดื่มน้ำต้มสุก โดยให้เด็กที่ป่วยถ่ายอุจจาระลงในภาชนะที่รองรับมิดชิด แล้วนำไปกำจัดในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย




http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9530000153233

ผงชูรส ภัยใกล้ตัว


ผงชูรส

 


     ผงชูรสผลิตจากแป้งมันสำปะหลังโดยขบวนการทางเคมี ซึ่งมีทั้งกระบวนการหมักและต้องใช้สารเคมีหลายตัว เช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริค กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก ยูเรีย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในปัสสาวะของคน นอกจากนี้ยังต้องใช้โซดาไฟอีกด้วย

      ผงชูรสไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการ ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับกรดกลูตามิค ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ไม่มีความจำเป็น เพราะร่างกายผลิตเองได้ จึงไม่มีคุณค่าทางอาหารแต่อย่างใดทั้งสิ้น อนึ่ง ผงชูรสเป็นสารเคมีคนละตัวกับกรดกลูตามิคที่มีอยู่ในธรรมชาติและในอาหารประเภทโปรตีน โดยที่ผงชูรสเป็นเกลือโซเดียมเช่นเดียวกับเกลือแกง เป็นคนละตัวกับกรดเกลือที่หลั่งอยู่ในกระเพาะอาหารเวลาหิว







  ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือแม้กระทั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย คงจะเคยเกิดอาการชา หรือร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น หลังรับประทานอาหารมาบ้างแล้ว อาการที่เกิดขึ้นนี้ คืออาการแพ้ ผงชูรส และเพราะอาการที่เกิดขึ้นเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หลาย ๆ คนจึงไม่ใส่ใจเท่าที่ควร แต่ทราบหรือไม่ว่าพิษภัยจากผงชูรสนั้นมีมากมาย และไม่ได้เพียงแต่ทำให้ปากหรือลิ้นชาเท่านั้น ในรายที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง จะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก และอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวได้

      นอกจากอาการแพ้อย่างเฉียบพลันตามอาการที่เกิดขึ้นข้างต้นแล้ว ถ้าคุณยังคงรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ๆ และบ่อยครั้ง ก็ย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้



พิษภัยและอันตรายของผงชูรสอาจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. ส่วนที่เกิดจากโซเดียม
- ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายมนุษย์ลดลง
- ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน
- ทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคมา ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ
อาจทำการรักษาผิดพลาดเป็นอันตรายได้
- เป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ทำให้ร่างกายบวม และยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
- อันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคไต ความดันสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ที่แพทย์ห้ามกินของเค็ม






2. พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้

- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น
- ทำลายสมองส่วนหน้าที่เรียกว่าไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก
- ทำลายระบบประสาทตา
- ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้
- ทำให้ไวตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบี-6 ทำให้ร่างกายผิดปกติและเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
- เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผงชูรสที่ผ่านความร้อนสูงๆ เช่น การปิ้ง ย่าง เผา
- ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดวิรูปหรือผิดปกติ
- ถ้ากินมากจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของมารดากับทารกในครรภ์ได้
- ทำให้เด็กเล็กถึงตายได้ เด็กไทยอายุ 20 เดือนถึงแก่ความตาย เมื่อกินขนมครกโรยผงชูรสด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำตาล




    การปรุงอาหารรับประทานกันเองที่บ้านนอกจากจะช่วยสร้างกิจกรรมภายในครอบครัวแล้ว ยังสามารถควบคุมคุณภาพอาหารได้อีกด้วย แต่ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำแล้วล่ะก็ ทางออกที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้คือ การระบุไม่ให้แม่ครัวใส่ผงชูรสลงไปในอาหาร และหลีกเลี่ยงน้ำซุปที่ให้บริการคู่กันมา เพราะเป็นแหล่งรวมผงชูรสที่มากที่สุดแหล่งหนึ่ง









นมเปรี้ยว...อาหารสมอง




ประโยชน์ของการดื่มนมเปรี้ยว


       ใครที่ชอบดื่มนมเปรี้ยว รู้ถึงประโยชน์ของนมเปรี้ยวกันหรือไม่ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...


การดื่มนมเปรี้ยว
      จะได้รับกรดแลคติก ที่เกิดจากการหมักตัวของจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย ที่กระเพาะมีปริมาณความเป็นกรดลดลง ทำให้อาหารไม่สามารถย่อยได้ดี





การดื่มนมเปรี้ยว


     จะช่วยปรับสภาพของกระเพาะอาหารให้เป็นกรดขึ้น และทำให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น รวมทั้งป้องกันไม่ให้เชื้อโรคตัวอื่น ๆ รุกล้ำเข้าไปในระบบย่อยอาหาร และนอกจากนี้จุลินทรีย์ที่เติมในนมเปรี้ยวยังมีส่วนช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย





การดื่มนมเป็นสิ่งที่ดี


      ร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน ดังนั้นการดื่มนมเปรี้ยวจึงต้องพิจารณาวัตถุดิบที่นำมาผลิต รวมทั้งราคาเมื่อเทียบกับปริมาณของอาหาร และสารอาหารที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดจะบริโภคเป็นอาหารว่าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนรสชาติบ้างคงไม่เป็นไร รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มนมเปรี้ยว เพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่า




 นมเปรี้ยวกับการลดความอ้วน....


   เชื่อว่ามีคุณผู้หญิงหลายๆท่านที่เข้าใจว่าดื่มหรือรับประทานนมเปรี้ยว จะช่วยลดความอ้วนได้ ในฉบับนี้เราจะมารู้จักนมเปรี้ยวกัน นมเปรี้ยวหรือ โยเกิรต์ทีที่มีวางในท้องตลาด แบ่งออกได้เป็น 2ประเภทใหญ่ๆคือชนิดของเหลว สามารถดื่มได้ทันที กับชนิดกึ่งแข็งกึ่งเหลว โดยนมเปรี้ยวจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากการนำนมไปหมัก ด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค อาจมีการเติมวัตถุอื่นที่จำเป็นต่อกรรมวิธีการผลิต และอาจมีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส ด้วย สำหรับจุลินทรีย์ที่นิยมใช้กันเป็นแบคทีเรียกลุ่มแลคโตบาซิลลัส และสเตรปโตคอคลัสซึ่งแบคทีเรียนี่เปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ในนมให้เป็นกรดแลคติด ทำให้ที่มีปัญหาเกิดอาการท้องเสียจากการดื่มนมเนื่องจากร่างกาย ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ สามารถรับประทานนมเปรี้ยวแทนนม และได้รับคุณค่าทางอาหารของนมได้




      สำหรับความเข้าใจที่ว่านมเปรี้ยวจะไม่ทำให้อ้วนนั้นจริงๆแล้ว พลังงานทั้งหมดที่ได้จากนมเปรี้ยว จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ถ้านมเปรี้ยวที่ทำจากนมสดก็ย่อมให้พลังงานมากกว่านมเปรี้ยว ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย ซึ่งมีไขมันต่ำกว่า แต่หากมีการเติมน้ำตาลมากๆเพื่อให้มีรถหวาน นมเปรี้ยวนั้นก็อาจให้พลังงานมากกว่านมธรรมดาๆก็ได้ เวลาที่จะเลือกซื้อนมเปรี้ยวมารับประทาน ต้องดูละเอียดต่างๆบนผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะบอกส่วนประกอบสำคัญว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้ ที่ฉลากยังจะบอกชื่ออาหาร ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตปริมาตรสุทธิ ข้อความที่แสดงว่ามีการใช้วัตถุเจือปนอาหาร ในกรณีที่มีการใช้ที่สำคัญมีเครืองหมาย อย. แสดงเลขทะเบียนตำรับอาหารหรือเลขที่รับอนุญาตให้ใช้ฉลากอาหาร และวันเดือนปีที่หมดอายุ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อนมเปรี้ยวมารับประทาน นอกจากดูรายละเอียดบนฉลากแล้วต้องตรวจดูภาชนะบรรจุ ว่าอยู่ในสภาพเรียนร้อยหรือไม่ มีการปิดผนึกสนิท ไม่รั่ว ซึมหรือฉีกขาด และการเก็บสินค้าต้องเก็บอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น ถ้าเป็นนมพาสเจอร์ไรส์ ต้องเก็บในตู้เย็นหรือตู้แช่ อุณหภูมิไม่เกิน10องศาเซลเซียส นมยูเอชทีสามารถเก็บในห้องธรรมดาได้ แต่ต้องไม่อยู่ใกล้ความร้อน หรือถูกแสงแดด และไม่วางทับซ้อนกันหลายชั้นเกินไป จนทำให้กล่องนมย่นเมื่อซื้อนมเปรี้ยวมาแล้วต้องเก็บในที่ๆ เหมาะสมและก่อนที่จะรับประทานอย่าลืมดูลักษณะของนมเปรี้ยวว่าปกติดีหรือไม่ เช่น นมเปรี้ยวชนิดเหลวต้องไม่จับตัวเป็นก้อนที่ก้นขวด ถ้าเป็นชนิดกึ่งแข็งกึ่งเหลว ต้องเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แตกตัว และอย่าลืมตรวจดูฉลากโดยเฉพาะวันหมดอายุ